เวลาที่ได้ยินคำว่า
‘ก็กูเป็นของกูอย่างนี้’ ‘รับไม่ได้ก็เรื่องของมึง’
ผมมักจะมีความเห็นในหลายๆมิติซึ่งในวัยที่เด็กกว่านี้หรือตัวผมเองเมื่อ 2-3 ปีก่อนก็คงจะตอบว่าเห็นด้วย
แต่เมื่อได้โตขึ้น ลองพิจารณาเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาบวกกับประสบการณ์ที่หล่อหลอมขึ้นเรื่อยๆกลับมีการตอบสนองต่อประโยคเหล่านี้เปลี่ยนไป กลับรู้สึกว่า ผู้พูดนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะทางความคิดสักเท่าไหร่
แน่นอนว่าความพิเศษหรือความแตกต่างโดดเด่นของแต่ละคนนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะมี เนื่องจากเป็นการสร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับตนเองและยังทำให้สังคมมีส่วนผสมที่หลากหลาย
แต่การที่บอกว่า ‘กูเป็นของกูอย่างนี้’ ‘รับไม่ได้ก็เรื่องของมึง’ ในมุมมองของผมนั้นคือผู้พูดนั้น
‘หยุด’ และ ‘พอ’
ในการที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงอะไรใดๆอีกทั้งสิ้น
ทั้งที่ในความเป็นมนุษย์นั้น การได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์นี้แล้ว เป็นคนคนนี้แล้ว อยู่ร่วมในสังคมนี้แล้ว การ ‘หยุด’ พัฒนานั้นเป็นอะไรที่ไม่ควรจะเกิดทั้งสิ้นทุกประการ แม้ว่าจะอายุเท่าใด ทุพพลภาพ เท่าใด อย่างไร
‘หยุด’ ในที่นี้คือไม่แม้แต่จะรับฟังหรือกลั่นสารใดๆ สัญลักษณ์ใดๆ หรือ สัญญาณใดๆ ที่บอกได้ว่าคุณยังพัฒนาต่อได้นะ ยังไปต่อได้นะ
อาจจะมีส่วนบ้างที่การตอบสนองนั้นเป็นไปเพื่อการตอบโต้บทสนทนาที่เกิดกระทบความเป็นตัวตนของผู้ฟัง จึงได้ตอบปัดๆไปว่า ‘กูก็เป็นของกูอย่างนี้’
แต่ในทางกลับกัน (และทางที่ดีกว่านี้) เพื่อเป็นกุศโลบายในการพัฒนาตัวเอง และเป็นบุคคลากรที่ดีในสังคม
อาจจะลองเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ดูเป็นว่า
...
..
.
‘กูก็เป็นของกูวันนี้ แต่วันพรุ่งนี้ กูจะเป็นกูที่ดีกว่ากูเมื่อวานแน่นอน’
#heroathletes
#philosophy